นิราศชาวเกาะ

OLYMPUS DIGITAL CAMERA

นัดหมายกัน ตามฝันว่า จะมาเกาะ
แหล่งเฉพาะ เจาะจง คงได้ที่
มีเวลา ว่าว่าง บ้างพอดี
ข้ามนที แหวกฟ้ากว้าง ดั่งตั้งใจ

ปากบารา วันนี้ มีความสุข
เวลารุก รีบมา ท่าน้ำใกล้
เรือเฟอรี่ มีให้นั่ง ออกฝั่งไกล
ว่าจะไป หลีเป๊ะเขา ได้เข้าที

สองชั่วโมง ในเรือ ก็เหลือหลาย
คนมากมาย มุ่งไป ในถิ่นที่
จะแหม่มสาว เฒ่าเล็ก เด็กมากมี
บิกินนี่ มีแทรกเห็น เป็นกุ้งยิง

OLYMPUS DIGITAL CAMERA

เรือเทียบท่า ที่โป๊ะ โอ้ะเป็นเรื่อง
เฟอร์รี่เขื่อง ห้ามขึ้นหาด สมาร์ทยิ่ง
กลัวทำลาย กลายสภาพ จ๊าบจริงจริง
รักษาสิ่ง แวดล้อม น้อมหนึ่งจอก

มีเรือเล็ก ถ่ายลง ตรงหน้าหาด
ห้าสิบบาท เพิ่มให้ ไม่ช้ำชอก
อีกยี่สิบ จิ๊บน้อย ค่อยมาบอก
แก้พูนพอก พันธุ์ขยะ นะคนดี

OLYMPUS DIGITAL CAMERA

หาดทรายขาว ราวกระดาษ สะอาดล้น
เจอผู้คน ปนเทา เคล้าหลากสี
พอคนมา ขยะเพิ่ม เติมทวี
หาวิธี มีปัญญา พาพ้นไป

ถนนสาย คนเดิน เพลิดเพลินนัก
ยังไม่พัก ขอเพลิน เดินไปไหน
ไม่รู้ทิศ คิดถาม เดินตามใคร
เดินเดินไป เดี๋ยวได้ เดินกลับกัน

ตื่นก่อนไก่ ไขขับ คนหลับไหล
ด้วยตั้งใจ ไปล่า หาความฝัน
ไปอาบแสง แรงต้น ค้นตะวัน
มุ่งหน้าพลัน ซันไรซ์ ไม่ไกลเกิน

OLYMPUS DIGITAL CAMERA

เห็นใครหนอ นั่งรอ ตะวันฉาย
ยังแอบอาย อิงเมฆา ว่าขัดเขิน
รอสักนิด หนึ่งพัก จักพิศเพลิน
ตะวันเขิน หรือเมินเจ้า ยากเข้าใจ

ตะวันตื่น คืนแล้ว น้องแก้วขวัญ
แทนพระจันทร์ ยันดารา ในฟ้าใส
อีกสักนิด อาทิตย์จ้า มาแทนใจ
บอกความนัย จันทร์ข้า ขอลาจร

OLYMPUS DIGITAL CAMERA

เมื่อยามนอน อ้อนจันทร์ ฝันเป็นเพื่อน
อยากเย้าเยือน เดือนแนบ แอบสมร
พอเช้าตื่น ฝืนตา ต้องจากจร
จันทร์ซุกซ่อน อาทิตย์แรง ฉาบแสงทอ

พอสายหน่อย ถอยเรือ เพื่อเที่ยวเกาะ
พาลัดเลาะ เกาะแก่ง แห่งไหนหนอ
เกาะหินซ้อน ซ่อนไกล ตั้งใจรอ
ชะเง้อคอ มองหา ว่าหนใด

OLYMPUS DIGITAL CAMERA

ใครหนอยก หกหิน ให้ผินผก
ก้อนใหญ่ยก ซ้อนดั่ง ยังสงสัย
ธรรมชาติ วาดสวย รวยวิไล
อยากจะได้ ใครช่วยยก ผินผกคืน

แวะเกาะไผ่ ตั้งใจ ไปดำหา
เยี่ยมน้องปลา สวยใส ให้สดชื่น
สอดส่ายหา ปลาอยู่ไหน ไม่กลับคืน
เที่ยวดึกดื่น หรือไร จึงไม่มา

เกาะรอกลอย คอยใคร ให้ชวนคิด
รอมิ่งมิตร ชิดใกล้ ให้ห่วงหา
ปีนป่ายหิน ผินเหนี่ยว เลี้ยวลับตา
หรือรอว่า ยาใจ เมื่อใดคืน

OLYMPUS DIGITAL CAMERA

เกาะราวี ใช่มี เป็นที่รบ
จุดนัดพบ พักทาน อาหารรื่น
พอหลบแสง แรงเห็น ร่มเย็นคืน
งีบสักตื่น คงชื่นสด อดกลับกัน

ผ่านอาดัง ยังเสียดาย ไม่ได้แวะ
โปรแกรมแยะ แปะไว้ ในความฝัน
ก็ร้อนเหนื่อย เมื่อยล้า สารพัน
ขอผลัดกัน วันหน้า จะมาเยือน

เกาะสุดท้าย หมายตา ว่าต้องถึง
หินกลมกลึง ลายพร้อย น้อยเสมือน
ระยับงาม ตามแต่ง แหล่งมาเยือน
เรียงรายเลื่อน เหมือนสร้าง ปางเสกมนต์

OLYMPUS DIGITAL CAMERA

เกาะหินงาม นามนี้ เป็นที่สุด
ราวสะดุด หยุดทุกอย่าง วางสับสน
มหัศจรรย์ สรรค์ไว้ ให้ยินยล
หินงามล้น คนงามเหลือ เมื่อปล่อยวาง

หินทุกก้อน อยู่ในที่ ไม่มีหาย
ไม่เคยกลาย วายจาก ยากสะสาง
ธรรมชาติ ให้ชื่นชม สมใจจาง
คนปล่อยวาง หินไว้ ในที่เดิม

เรื่องเล็กใหญ่ ล้วนใจ ใฝ่กำหนด
จะจำจด จืดจาง หรือวางเสริม
ทำให้น้อย หรือคอย คิดแต่งเติม
เก็บหินเพิ่ม หรือวางไว้ ที่ใจเธอ

OLYMPUS DIGITAL CAMERA

ถึงเวลา อาลัย ต้องไกลจาก
คงลำบาก ยากใจ ได้เสมอ
มาพบกัน เพื่อพราก ไม่อยากเจอ
จะเก็บเธอ เพ้อหา เวลาครวญ

อีกกี่เดือน เคลื่อนคล้อย รอคอยพบ
กี่ปีสบ สั่งใจ ให้คืนหวน
กี่ภพชาติ หากมี จะชี้ชวน
หนึ่งน้องนวล หวนหา เวลาคืน

สมชัย ศรีสุทธิยากร
ไปเป็นชาวเกาะ สตูล
17-19 มีนาคม 2558

นิราศกระบี่

แล้วข้ามฟ้า มหานที กระบี่แกร่ง
ฝ่าลมแรง แสงจ้า ขอบฟ้าใส
ขอบสมุทร สุดแผ่นดิน ถิ่นแดนไกล
พาหัวใจ ไปถึง ซึ่งเมืองงาม

ดาบกระบี่  มีดี  ที่ฟันฟาด
พลกระบี่ องอาจ มาดเกรงขาม
เป็นทหาร ชาญช่อง ขององค์ราม
เมืองกระบี่ งดงาม ตามแยบยล

ใครมาถึง จึงรัก ยากหักจิต
หนึ่งชีวิต พิศมา หาสักหน
เมืองกระบี่ ยังมีดี ที่ผู้คน
จิตเปี่ยมล้น คนดี กระบี่คม

กระแทกทั้น ชั้นชอก ระลอกคลื่น
ตระหนกตื่น หวีดผวา ว่าเสียงขรม
แหวกผ่าน้ำ ค้ำฟ้า ท้าสายลม
กายระบม จิตเบิกบาน ผ่านนที

เกาะใหญ่น้อย ค่อยปรากฏ ดูสดชื่น
ที่ไหนอื่น มีไหม ในกรุงศรี
อึดใจหนึ่ง มาถึง ซึ่ง พีพี
เห็นวารี ใสสด มรกตงาม

ปลาเสือน้อย คอยหา ว่าเคียงคู่
ลอบแอบดู รู้ไหม ใครใคร่ถาม
ขนมปัง ชิ้นน้อย คอยป้อนตาม
เหมือนสื่อความ ตามป้อน ออดอ้อนใจ

อ่าวมาหยา มาหมาย แอบอายอยู่
มองหาคู่ อยู่ห่าง หนทางไหน
ทรายเม็ดขาว พราวฟ้ากว้าง ห่างกันไกล
ใจต่อใจ ให้แนบชิด คิดถึงกัน

อ่าวต้นไทร ไม่วาย ให้ทายทัก
คนมากนัก ชักวุ่นวาย มากมายสรร
ธรรมชาติ หดหาย กลับกลายพลัน
คิดถึงวัน เก่าเยือน ไม่เหมือนเคย

เกาะไม้ไผ่ ใจร้าย ไม่ให้แวะ
อาบแดดแยะ แกะเกาะ เลาะเลี้ยวเฉย
ชะเง้อคอ รอรับ กลับขับเลย
อยากเปิดเผย เสียหาย เสียดายจัง

มาถึงที่ วารี มีแบ่งแยก
ทะเลแหวก สองฝั่ง ดั่งมนต์ขลัง
สันทรายขาว ราวทาง ห่างประดัง
แยกน้ำฝั่ง สองฟาก ยากตัดใจ

น้ำขึ้นลง ตรงหน้า ว่าธรรมชาติ
ยังสามารถ คาดการณ์ เชี่ยวชาญได้
ใจน้องนาง ห่างหา ว่าอย่างไร
แปลกเปลี่ยนไป ให้ห่วงหา ว่าอาวรณ์

ถึงอ่าวนาง จางหาย ไม่วายเศร้า
โอ้อกเรา ร้างนาง จางสมร
ไหว้พระนาง จางจาก ได้จบจร
มาขอพร วอนนาง อย่าจางไกล

พุน้ำร้อน  ย้อนวัย ได้ลงแช่
โรคภัยแพ้ พาลหาย กลายดีได้
ไปถึงหมับ ขยับเท้า ก้าวทันใด
ถึงตกใจ ให้เกือบสุก สนุกจริง

ตะวันพลบ จบลง ที่ตรงหน้า
ได้เวลา อาลัย ใช่ไกลทิ้ง
จากกระบี่ มีใจ ให้รักจริง
ยังแอบอิง อ้างเอ่ย ว่าเคยมา

ลาแล้วหนา ขอลา กระบี่แกร่ง
ถนอมแรง แบ่งใจ ไว้ภายหน้า
เมื่อรุ้งสาย ปลายอาบ มาทาบทา
คำมั่นว่า ใช่ลาลับ จะกลับเยือน

สมชัย ศรีสุทธิยากร
5-6 กันยายน 2557

นิราศลอนดอน 2014

OLYMPUS DIGITAL CAMERA

นิราศ ลอนดอน เอดินเบอระ กลาสโกว์

ต้องจากไกล ไปลอนดอน อ้อนออดเอ่ย
ไฉนเลย เคยชิด สนิทใกล้
ต้องร้างรา พาจาก พรากดวงใจ
สะท้อนไห้ หวนถึง คนึงทรวง

หลายเพลา คงหาเจ้า เศร้าสะอื้น
เมื่อยามตื่น ใครจะฟื้น เริงรื่นสรวง
ใครหุงหา อาหาร ทานทั้งปวง
ใครคิดห่วง หวงเจ้า จงเข้าใจ

ใครป้อนยา พาเจ้า เข้าหับห้อง
ใครจะร้อง กลอนกล่อม ก่อนหลับไหล
ใครห่มผ้า หนานุ่ม โอบอุ้มใจ
ใครหนอใคร ห่วงหา ว่าอาวรณ์

แค่เจ็ดวัน กลั้นใจ พิไรรี้
เหมือนเจ็ดปี นี้ห่าง จางสมร
ทุกคืนค่ำ ย้ำตื่น สะอื้นนอน
สะท้อนถอน ห่อนเห็น เป็นทุกข์ใจ

สิบสองชั่ว โมงนิด อังกฤษถึง
นั่งนิ่งนึ่ง นึกนาม ความไฉน
กลัวเป็นเรื่อง เครื่องเก่า กัปตันใหม่
การบินไทย ไว้ใจ ได้ทุกครา

สนามบิน ฮีทโธรว์ โอ่อ่ายิ่ง
อยากเชิญนวล น้องหญิง มาเยี่ยมหา
เช้ามาถึง จึงเย็นกลับ จับเวลา
เดินเล่นว่า มาแล้ว แก้วยาใจ

บัตรฟาสต์แทร็ค แยกไว้ ให้เร็วยิ่ง
พอของจริง ยิ่งช้า กว่าไฉน
ช่องธรรมดา ว่าช้า มาก่อนใคร
ให้ทำไม ให้ช้า น่างงจัง

สามทุ่มกว่า มาถึง กึ่งใจหาย
ว่าทำไม ให้ง่วงจัง ดังมนต์ขลัง
ดูเวลา ว่าไทย ให้จังงัง
แทบตาตั้ง ตีสาม ยามของไทย

ตีสี่กว่า ท่าจะบ้า ตามันตื่น
นี่กลางคืน หรือกลางวัน ฝันไปไหม
ตื่นเร็วชิบ สิบโมงเช้า เราคนไทย
แต่ทำไม ที่นี่มืด ยืดยาวจริง

เจ็ดแปดเก้า เอ้าล้อหมุน คุ้นเคยอยู่
เช็คตุ้มหู แหวนเพชร โรเล็กซ์ทิ้ง
เราสบาย คลายห่วง ไม่ท้วงติง
สมบัติยิ่ง มีแค่ตัว กับหัวใจ

ลอนดอนอาย ชายตา มาให้เห็น
ที่แท้เป็น ชิงช้า ตัดฟ้าใส
ขึ้นชิงช้า คว้าเมฆจับ ระยับไกล
ด้วยหัวใจ ดวงโต โอ้ปลื้มจัง

อึดใจหนึ่ง มาถึง ทาวเวอร์บริดจ์
หอคอยชิด แนบสะพาน ตำนานหลัง
เป็นต้นแบบ สะพานเปิด เริดหรูจัง
เชื่อมสองฝั่ง แม่น้ำเทมส์ เปรมปรีดา

พอตกบ่าย ได้มาเยี่ยม เยือนสถานฑูต
ตามหลักสูตร การเมือง เรื่องศึกษา
ดูจุดเด่น เห็นมุมชัด รัฐสภา
ย้อนพารา เมืองไทย ได้ไตร่ตรอง

ประชาธิ ปไตย คือใครเอ่ย
เพราะเขาเคย อยู่ที่นี่ เหมือนพี่น้อง
หลงทางไป ไทยบ้าง ต่างครรลอง
มาเยี่ยมมอง เมียงหา ว่าหนใด

เพราะจากไป ใครเขา เฝ้าคิดถึง
ต้นแบบซึ่ง ไทยตาม ต้องถามไถ่
เผื่อวันหลัง หวนกลับเขต ประเทศไทย
หน้าตาใหม่ อย่างไร ที่ไหนดี

มีคำถาม มากมาย ให้ได้คิด
ไรถูกผิด คิดแบบใหม่ ให้สดศรี
เพื่อให้นาย ประชาฯ หน้าตาดี
บอกวิธี ปรุงปรับ ไม่ลับลวง

ขอขอบคุณ หนุนเกื้อ เอื้อมื้อค่ำ
ขอบคุณคำ บรรยาย ยิ่งใหญ่หลวง
ซึ้งน้ำใจ ไมตรี มีทั้งปวง
เวลาล่วง ต้องอำลา ยังอาลัย

กลับไปยัง ประเทศไทย ในครานี้
มีเรื่องดี เรื่องเล่า กล่าวขานไข
ว่าอุปทูต น่ารัก มากเกินใคร
ได้ซึ้งใจ นักศึกษา ป้าลุงกัน

ไก่ไม่ขัน มีอัน พลันรีบตื่น
ไม่ข้ามคืน ฝืนฝาก ยากหลับฝัน
หกโมงเช้า เอ้าล้อหมุน หุนหันพลัน
รถไฟนั้น ตรงเวลา น่าจะรอ

ถึงชั่ง ถึงชั่ง นั่งสนุก
จะเดินลุก สุขใจ ไม่ต้องง้อ
รถไม่ติด จิตสบาย ไร้หดห่อ
อยากจะขอ นั่งอีกหน รอคนชวน

ห้าชั่วโมง ผ่านไป ให้มาถึง
ดินแดนซึ่ง เจ็ดร้อยไมล์ ไกลไห้หวน
500 ไมล์ ใจยัง คิดคร่ำครวญ
แม้รถด่วน ยังแพ้ใจ ให้ถึงเธอ

สก็อตแลนด์ แดนเหนือ เหลือจะคาด
ประชาชาติ อาจกล้า ท้าเสนอ
ประชามติ แยกประเทศ เขตขัณฑ์เธอ
ประชาเจอ จัดจง ลงคะแนน

นัดหมายว่า กันยานี้ ที่สิบแปด
จะร้อนแดด แผดฝน ทนหนาวแสน
เจ็ดโมงเช้า ถึงสี่ทุ่ม ทั่วดินแดน
ลงคะแนน แยกไม่แยก แตกต่างไป

เพื่ออำนาจ อธิปไตย ที่ใหญ่ยิ่ง
เพื่อเป็นสิ่ง กำหนด อนาคตได้
เพื่อชีวิต ลูกหลาน กาลต่อไป
จะแยกไป หรือให้อยู่ ดูให้ดี

เอดินเบอร์ก ฤกษ์ดี มีเลือกตั้ง
เพื่อรับฟัง ความเห็น เป็นอย่างที่
จะรับ yes ไม่รับ no โหเข้าที
18 นี้ รู้กัน ฝันหรือจริง

ไต่ปราสาท เทียมฟ้า เบื้องหน้าเห็น
ดูโดดเด่น เป็นมาด องอาจยิ่ง
เอกราช ประชาชาติ สิของจริง
ไม่ละทิ้ง ชาติเกิด กำเนิดพันธุ์

เข้าพำนัก พักกาย คลายเหนื่อยล้า
ที่เมืองท่า กลาสโกว์ โก้สุขสันต์
เมืองธุรกิจ การค้า สารพัน
ตกดึกพลัน ดูรณรงค์ คงจะดี

จอร์จสแควร์ แค่ใกล้ใกล้ ไปดูเขา
คนหนุ่มสาว เขามา หาวิถี
ประกาศก้อง ร้องหา ว่าเสรี
ประเทศมี อิสระ จะแยกตัว

น่าแปลกใจ ทำไม ความเห็นแผก
ฝ่ายหนึ่งแยก หนึ่งรวม ยังร่วมหัว
ว่าแตกต่าง ไม่แตกแยก หรือแปลกตัว
เป็นแบบทั่ว ถิ่นได้ ให้เดินตาม

ชะเง้อแง้ แลแนบ แอบข้างรั้ว
ฟ้าก็มัว หัวใจ ให้ใฝ่ถาม
หากวันหนึ่ง เมืองไทย ได้ต้องตาม
จะยังความ สุขสงบ พบเหมือนกัน ?

เอาชนะ คะคาน ระรานยิ่ง
เท็จหรือจริง ยิ่งยาก ลำบากฝัน
ความเห็นต่าง ตบตี มีฆ่าฟัน
จะยืนยัน ความคิด ผิดไม่มี

ประเทศไทย
มีอะไร ให้ต่าง ช่างบัดสี
ทรัพยากร มากล้น พ้นมากมี
แค่ต่างที่ มีคน ยากจนธรรม

ภารกิจสิ้น บินกลับ หลับหลับตื่น
ถึงเที่ยงคืน ฝืนตา ว่ากลืนกล้ำ
กว่าได้นอน ผ่อนพัก พำนักคำ
ขอบตาช้ำ ใช่อดนอน แต่ถอนใจ

วันสุดท้าย ในลอนดอน อาวรณ์แล้ว
จากน้องแก้ว แล้วใดหนา จะมาใหม่
บิ้กเบนเจ้า เศร้าสุด เหมือนหยุดใจ
หยุดเวลา ไว้ได้ จะให้พลัน

แม่น้ำเทมส์ เอมใจ ได้มิ่งมิตร
มาแนบชิด หลายเพลา พาสุขสันต์
แค่ห้าคืน ครื้นคร่ำ จำรำพัน
อีกกี่วัน ผันพราก จากกลับคืน

ทาวเวอร์ออฟ ลอนดอน สะท้อนจิต
ใครที่คิด จิตต่าง ต้องใฝ่ฝืน
เสียงไห้ร่ำ จากคำ ที่กล้ำกลืน
สุดสะอื้น คืนจาก พรากไกลกัน

บริติช มิวเซี่ยม เยี่ยมลาลับ
คืนนี้กลับ กรุงแล้ว แก้วตาขวัญ
มวลล้ำค่า บรรดา สารพัน
หมายกำนัล น้องเจ้า โศกเศร้าคืน

ห้างแฮร์รอด ไม่รอดเร้น เป็นที่หมาย
มุ่งละลาย กลายทรัพย์ กลับเป็นอื่น
จะปราด้า วิตตอง น้องหมายคืน
ปอนด์ไหลลื่น หล่นหาย เป็นหลายเงิน

บ้างก็ไป outlet เสร็จทุกที่
สินค้าดี แต่ถูกอยู่ ดูเผินเผิน
คำนวณใหม่ ราคาไทย ไม่เพลิดเพลิน
ถ้าจ่ายเกิน กลับไทยท่า น้ำตาริน

มื้อสุดท้าย ตัวใคร จ่ายกันเอง
ไม่ต้องเกรง กริ่งเงิน เพลินหมดสิ้น
มาม่าคัพ ดับหิว หิ้วให้กิน
เพลิดเพลินลิ้น กินอร่อย เลิศลอยใจ

จากแล้วหนา ลาลอนดอน กลอนต้องจบ
นิราศครบ พบกัน ในวันใหม่
สุนทรภู่ ครูกลอน ท่านสอนใจ
ท่องเที่ยวไป ได้กลอน ย้อนความจำ

ที่จากไกล ไปลอนดอน แกล้งอ้อนเจ้า
ทำเป็นเศร้า เราแสร้ง แกล้งให้ขำ
กลับเมืองไทย ไม่มีแหวน แทนถ้อยคำ
แค่สิ่งล้ำ น้ำใจ ให้เธอแทน

สมชัย ศรีสุทธิยากร
กันยายน 2557

ทิ้งหัวใจไว้ที่ซานฟราน

If you’re going to San Francisco

Be sure to wear some flowers in your hair

If you’re going to San Francisco

You’re gonna meet some gentle people there

หากคุณตัดสินใจไปเมืองนี้

ดูให้ดีมีดอกไม้ใส่เส้นผม

คุณจะพบคนดีมีสังคม

มีรักสมจดจำซัมเมอร์ไทม์

 

เมืองอะไรในหมอกบอกไม่รู้

ถนนดูระยับระยิบใส

คนมากมายหลายหลากที่มีน้ำใจ

เดินไปไหนให้ส่งยิ้มอิ่มไมตรี

 

บ้านดูดีสีลูกกวาดสะอาดนัก

ให้นึกรักหลงใหลในทุกที่

เคเบิ้ลคาร์ช้าอยู่แต่ดูดี

เพราะที่นี่รักษาไว้ให้ชื่นชม

 

ถนนลอมบาร์ดชาตินี้เพิ่งมีเห็น

อยากใจเต้นหัวใจวายคงได้สม

ใครหนอสร้างทางได้ให้อารมณ์

คงนิยมทางแปลกซิกแซกดี

 

โกลเด้นเกทชื่อไกลไปทั่วย่าน

เป็นสะพานราวแขวนแสนสดสี

ทาสีส้มเด่นเหลือเหนือนที

76 ปี ยังยืนนานผ่านเวลา

 

อยากจะแขวนหัวใจไว้ที่นี่

อีกหลายปีจึงรับกลับไปหา

ห่วงแต่หนาวจะร้าวรวดปวดอุรา

หัวใจกล้าจะแช่แข็งดูแกร่งเกิน

 

สะพานปลาน่าเดินก็เพลินได้

เพียร์ 39 ต้องไปไม่ขัดเขิน

แหล่งเที่ยวกินมากมายไม่มีเกิน

จะให้เพลินต้องเดินหาปูหน้าดี

 

มากินปูที่ซานฟรานสำราญหลาย

อยู่ไกลไทยแต่มีปูอยู่ทุกที่

แต่ไม่ใช่ปูนาขาเกที

ปูที่นี่ดูดีมีปัญญา

 

นกนางนวลตั้งคอรอต้อนรับ

ท่าจ้องจับอาหารสำราญหน้า

บอกจะบินผินไปสุดขอบฟ้า

ขอเพียงมุ่งหมายว่าถ้าตั้งใจ

 

เสียงดนตรีมีให้ฟังไม่มีขาด

ศิลปะภาพวาดดูสดใส

การแสดงแสงสีมีทั่วไป

เมืองอะไรสบายใจเมื่อได้มา

 

แสงแดดจ้าอากาศเย็นก็เป็นสุข

ไม่มีทุกข์ไม่ต้องไล่ใครหน้าหนา

ไม่ต้องหาหน้ากากมาสวมหน้า

ก็เพราะว่าหน้าที่นี่มียางอาย

 

กิราเดลลี่สแควร์ไม่แปรเปลี่ยน

ยังพากเพียรทำขนมนมเนยขาย

ช็อคโกแล็ตอร่อยล้ำทำมากมาย

กินฟรีได้ไปรับแจกแลกกินฟรี

 

ซุบหอยลายขายได้ไว้ลายชื่อ

แคลมโชวเดอร์เลื่องลือไปทุกที่

เขาคว้านก้อนขนมปังดังวิธี

พอได้ที่เทซุปร้อนในก้อนปัง

 

ซัมเมอร์ไทม์ซานฟรานสะท้านจิต

คิดถึงมิตรเมืองไทยดังใจหวัง

อากาศหนาวเหน็บเนื้อเหลือกำลัง

ดูแล้วช่างน่าค้นหาถ้ามีเธอ

 

อัลคาทราซไม่ได้ไปเพราะไกลอยู่

ทวินพีคเขาคู่เคียงเสมอ

ไม่กล้าขึ้นเขาคู่เพราะกลัวเจอ

ไม่มีเธอแต่มีเกย์เกรงติดใจ

 

เบเกอร์บีชอยากไปใจไม่ถึง

เป็นที่ซึ่งอาบแดดท้องฟ้าใส

เสียอย่างเดียวเขาห้ามนุ่งอะไร

ก็อยากไปแต่กลัวใครอิจฉาเรา

 

ไชน่าทาวน์คราวนี้มีให้ผ่าน

เพราะเป็นย่านอาหารคนจีนเขา

เสียงล้งเล้งดังลั่นปานบ้านเรา

ไปแค่เยา-วราชก็ พอกันเลย

 

แวะกลางวันร้านเมซี่ก็ดีอยู่

จะให้หรูขึ้นชั้นเจ็ดเด็ดเสวย

มีชีสเค้กแฟกตอรี่ดีเช่นเคย

คงนิ่งเฉยช้าไม่ได้ต้องใคร่ลอง

 

เพียร์ 39 เข้าท่าน่าไปอยู่

นัดน้องปูตัวใหญ่จับใส่ท้อง

ซีฟู้ดมากหลากหลายให้ทดลอง

รู้แต่ต้องตามใช้หนี้ที่เมืองไทย

 

ถึงเวลาคืนลับกลับถิ่นฐาน

จะพ้นผ่านนานนักจักแค่ไหน

คงไม่เลือนลืมหายกลายอื่นใด

ทิ้งหัวใจไว้นี้ ที่ซานฟรานฯ

 

I left my heart in San Francisco

High on hill , it calls to me

To be where little cable car climb halfway to the star

The Morning fog may chill the air 

 

นิราศเมืองเพชร ร.ศ.๒๓๑

ขึ้นรถเก๋ง คันใหม่ ใส่เต็มถัง
ผู้โดยสาร คนดัง ขึ้นนั่งคู่
ออกเดินทาง จากกรุง แต่เช้าตรู่
มุ่งหน้าสู่ เมืองเพชร ที่เกร็ดไกร

รถก็ติด ตะขัด กว่าจะหลุด
ก็แสนสุด เบื่อหน่าย กว่าไหนไหน
ออกพระราม สองมุ่ง พุ่งตรงไป
มหาชัย ไม่ได้แวะ เกาะแกะเลย

เห็นปลาทู ข้างทาง ระหว่างผ่าน
สาวสคราญ แม่กลอง โบกให้เฉย
แวะหน่อยจ้า ซื้อปลาทู อย่าละเลย
เผื่อเป็นเขย ปลาทูฟรี มีให้กิน

ถึงปากท่อ รออยู่ ให้เลือกคิด
ถูกหรือผิด ซ้ายหรือขวา ต้องตัดสิน
เลี้ยวทางผิด หลงทางไป ไม่ได้กิน
จะถึงถิ่น หรือถดถอย ต้องคอยดู

ผ่านเขาย้อย ลื้นห้อย เลยแวะพัก
ที่พำนัก ข้าวแกงดัง ตั้งใจอยู่
รถมากมาย มาชุมนุม เหมือนหาคู่
ลองแวะดู อร่อยจัง ดังชักชวน

ผ่านเขาวัง ดังหนึ่ง ใจจะขาด
เคยหวังวาด ขึ้นไป ให้คิดหวน
มาครานี้ มีหวัง ดังคิดครวญ
จบกระบวน งานจบ เคารพวัง

ถึงชะอำ พำนัก ที่อาศัย
แลเหลียวไป ไม่พลาด จากที่หวัง
ได้ห้องพัก พิงอยู่ ตามลำพัง
แลเหลียวหลัง อยู่ห้องเดี่ยว เดียวดายใจ

พอเย็นย่ำ เริ่มค่ำ เริ่มเข้าที่
พระนคร คีรี ไปกันไหม
ขึ้นเขาวัง ดังหวัง ที่ตั้งใจ
ใครไม่ไป ไม่ถึง ซึ่งเพชรบุรี

เจ็ดสิบบาท ขาดตัว ค่าตั๋วขึ้น
รถรางถึง พระนคร คีรีศรี
ไม่เมื่อยขา ค่านวด ใช่ของฟรี
มีวิธี ขึ้นง่ายๆ ตะกายไป

บนคีรีื มีป้าย เตือนร้ายอยู่
ต้องคอยดู ระวังลิง ช่วงชิงไหว
ถือข้าวของ ต้องระวัง นั่งระไว
อย่าไว้ใจ ลิงคน ปะปนกัน

ขนมหวาน เมืองเพชร ก็เด็ดนัก
เชิญนั่งพัก ผ่อนหน่อย ค่อยขยัน
มีทองหยิบ ฝอยทอง ของคู่กัน
สารพัน ของดี มีให้ขิม

ข้าวเกรียบว่าว วงใหญ่ ใครไม่รู้
ต้องทานดู ตอนกรอบ ไม่นุ่มนิ่ม
ข้าวแช่หอม กลิ่นกรุ่น ลุ้นให้ลิ้ม
ไอสครีม มะพร้าวอ่อน ขออ้อนที

อย่ารั้งรอ หม้อแกง ที่แรงฤทธิ์
ชิมอีกนิด จะติดใจ ไม่เปลี่ยนที่
สารพัด แม่มากมาย หลายชีวี
แต่ให้ดี ถามแม่คุณ จะอุ่นใจ

เดินเขาวัง แต่นั่งพัก สักบ่อยหน่อย
เพราะต้องคอย จูงป้า คนหน้าใส
เธอบอกเหนืี่อย เมื่อยแรง จัดแจงไป
จะอุ้มให้ ก็เกรงใจ ไม่ธรรมดา

สามทุ่มแล้ว แก้วตา ต้องลาจาก
ยังเหนืี่อยยาก งานหนัก อยู่ตรงหน้า
ยังอิดออด เอ้อระเหย เฉยเวลา
พรุ่งนี้หนา ค่าบรรยาย คงหายพลัน

โอกาสหน้า มีเวลา มาหาใหม่
เพชรบุรี ดวงใจ ที่ใฝ่ฝัน
หวานขนม น้อยกว่า หน้าแจ่มจันทร์
หวานเจ้านั้น หวานใจ ไม่ลืมเลือน

นิราศเวกัส รศ. ๒๓๑ (2556)

สิบหกมิถุนาปีห้าหก
หลังจากงกงกเงิ่นหลังเดินสาย
จัดกระเป๋าเข้าที่ดีสบาย
เหมือนขนย้ายบ้านใหม่ให้เข้าที

สุวรรณภูมิปลายทางที่ขวางหน้า
ไม่รอช้าส่งไปให้ถึงที่
เช็คกระเป๋าเข้าท้องเครื่องเรื่องพิธี
หนักพอดีไม่ต้องจ่ายหลายสตังค์

พอตีหนึ่งเครื่องออกขอบอกว่า
แอร์ไชน่าเขาดุดูขึงขัง
แอร์ไม่สวยแถมยังส่งเสียงดัง
แถมโดนสั่งปิดไอแพดแสรดจริงๆ

นอนคุดคู้อยู่ได้ยังไงนี่
ตอนตีสี่ตื่นมาเหลียวหาหญิง
เพราะที่นั่งข้างขวาป้าจริงๆ
เลยต้องนิ่งหลับต่อรอเครื่องลง

สนามบินปักกิ่งก็นิ้งสวย
ดูสำรวยกว้างใหญ่ไกลจนหลง
เดินขาลากลำบากยากจนปลง
บ้านเราคงชิดซ้ายให้ราคา

ฟรีไวไฟมีให้เลือกใช้เถิด
แจกพาสเวิร์ดเหมือนดังไม่มีค่า
เสียอย่างเดียวเสียวหลุดตลอดเวลา
กรุณาทำใจใช้ของฟรี

เล่นเฟซบุ๊คไม่ได้ยังไงวะ
ก็ว่าจะอัพสเตกันหน่อยนี่
ได้แต่หมุนหมุนหาไม่น่ามี
เพราะที่นี่เขาบล๊อคช้ำชอกใจ

รัฐบาลของไทยช่างใจกว้าง
จะโง่บ้างโกงบ้างช่างไฉน
ก็ยังเปิดเสรีในเพจไทย
มีอะไรด่าได้ไม่เคยแคร์

เก้าชั่วโมงโล่งเตียนรอเปลี่ยนเครื่อง
ให้แค้นเคืองเล่นไม่ได้ให้เกรดแย่
สงสัยติดเฟซบุ๊คสนุกแท้
ไม่ได้แน่หากไม่โพสท์โกรธกันตาย

ได้แต่ไลน์คลายเหงาถึงสาวสวย
แต่ก็ห่วยไลน์หลุดสะดุดสาย
ปักกิ่งจ๋าเธอท่าจะออกลาย
หากไม่ตายไม่คืนกลับมารับเธอ

ถึงบ่ายสามตามได้ไปขึ้นเครื่อง
ไม่มีเรื่องตื่นเต้นเช่นเสมอ
อีกสิบสองชั่วโมงคงได้เจอ
ไม่คอยเก้อถึงเธอที่ซานฟราน

สิบสองโมงเครื่องลงตรงสนิท
ไม่มีผิดเวลาพาเมินหมาง
สนามบินสวยสะอาดเด่นในเส้นทาง
ดูแล้วช่างวางใจปลอดภัยดี

ตม.หนวดตรวจตราวีซ่าเข้า
คำถามเก่าแบบว่ามาทุกที่
ทำอะไรพักที่ไหนช่วยบอกที
พูดดีดีเขาให้เข้าผ่านไม่คร้านครัน

หลุดมาได้ใจชื้นขึ้นสักนิด
มีชีวิตชิดใกล้เมืองในฝัน
ท่องซานฟรานซิสโกโก้หรูกัน
กลัวแต่ฉันเงินหมดอดพอดี

เข้าพักในมหาลัยของวัยรุ่น
ไม่มีทุนก็ซุกตัวลงตรงนี้
อาหารเย็นเรียบง่ายสบายดี
รอพรุ่งนี้มีเที่ยวเดี๋ยวบอกเอย

คนขับรถมาส่งแสนน่ารัก
เขาทายทักว่ามาเรียนด้วยกันเฉย
บอกอายุพ่อลูกใกล้กันเลย
เลยตามเอ่ยว่าใช่ไม่ขัดความ

พอค่ำดึกนึกจะนอนกายอ่อนล้า
แต่เวลาเมืองไทยใกล้บ่ายสาม
ที่เมืองเขาตีหนึ่งถึงชั่วยาม
จะตีความเมืองไหนจึงได้นอน

นอนไปหน่อยไม่ค่อยหลับสนิท
คิดถึงมิตรคนงามทรามสมร
นึกอยู่ว่าโน้นน่าไม่ได้นอน
เลยใจอ่อนนอนไปทำไมกัน

กำหนดการวันนี้แสนดีหลาย
ว่าจะไปเมืองบาปหยาบช้านั่น
ลาสเวกัสเขาเล่าเลื่องลือกัน
เมืองในฝันของใครหลายหลายคน

พอเครื่องลงสนามบินในถิ่นใหม่
เมืองอะไรวะร้อนไม่น่าสน
มาทำไมเดิมอยู่กายสบายตน
มาให้คนปล้นเงินหรือเกินพอ

เข้าที่พัก “ลักซอร์” ไม่รอช้่า
มีสฟิงค์หมอบหน้าท่านั่งจ้อ
ปิรามิดใหญ่ล้นพ้นขอบจอ
เหมือนมารอรับเราเข้าโรงแรม

ตึกก็เอียงห้องพักเอียงเฉียงเฉียงอยู่
แต่น่าดูลิฟท์เอียงได้ให้ฉงน
แทนขึ้นตรงกลับเฉียงขึ้นวกวน
ถ้าเป็นคนทนไม่ไหวหัวใจวาย

อากาศร้อนพักผ่อนนอนดีกว่า
ใช่เวลาเดินเล่นเช่นตอนสาย
ตกค่ำหน่อยค่อยเดินเพลินสบาย
ไปสอดส่ายดูสาวน่าเข้าที

โรงแรมใหญ่ wi fi ไปไหนหมด
สัญญานหดเหือดหายไปทุกที่
สะบั้นกันโลกกับฉันทำไงดี
หาวิธีฟรีไวไฟไม่ได้จริง

ออกไปเดินยามค่ำย่ำไปทั่ว
ไม่น่ากลัวแต่น่าชังจังเสียยิ่ง
เมืองอะไรมีแต่บ่อนกะผู้หญิง
บุหรี่สูบกันจริงสิงห์อมควัน

มีสีแสงน่าสนใจกระไรอยู่
แต่ให้บินมาดูคงน่าขัน
ไฟที่ไหนก็สวยเหมือนๆกัน
งงว่าฉันบินมาหาอะไร

ได้ดูโชว์โอ่อ่าเข้าท่าบ้าง
ดูเขาช่างสามารถเกินพิสัย
กายกรรมเก่งกาจทั้งหญิงชาย
แต่แปลกใจทำไมเสื้อไม่มี

ยังโชคดีที่นั่งแถวหลังหลัง
เพราะคนนั่งแถวหน้าท่าผิดที่
นอเต็มจมชมเต็มตาท่าไม่ดี
คงต้องมีใครบ้างต้องล้างตา

ตื่นตีห้าบ้าแล้วแก้วตาเอ๋ย
อยู่เมืองไทยยังไม่เคยตื่นตีห้า
กำหนดไว้ให้ออกหกนาฬิกา
หากไม่มาไม่คืนตังค์พังลูกเดียว

เกรย์ไลน์ทัวร์ไม่มั่วแต่เลทได้
นัดเขาไว้แต่มาช้าน่าหวาดเสียว
ยืนรอรถเลยเวลาหน้าซีดเซียว
กลัวอดเที่ยวแกรนด์แคนยอนสะท้อนใจ

ยังดีที่มีใครต่อใครด้วย
ไม่งั้นสวยด้วยจะงงเป็นตาไก่
เลยหกครึ่งพึ่งได้ออกนอกเมืองไป
สู่จุดหมายไกลขอบฟ้าน่าลิ้มลอง

ผ่านเขื่อนใหญ่น่าดูชื่อฮูเวอร์
ไม่เคยเจอจ้องจับขยับกล้อง
แม่น้ำโคโรราโดก็น่ามอง
น่าไปลองว่ายเล่นเป็นเพลิดเพลิน

สามชั่วโมงกว่ากว่าน่าจะได้
จากเขื่อนใหญ่ไปที่ภูผาเผิน
ทั้งตื่นหลับหลายคราคุ้มค่าเงิน
นั่งรถเกินคุ้มหลายที่จ่ายไป

สักบ่ายหน่อยค่อยมาถึงซึ่งโตรกผา
ไหงเป็นร้านค้าของระลึกได้
ให้ดูหนังแคนยอนในจอใหญ่
มาตั้งไกลทำไมไม่ให้ของจริง

หลอกดูหนังเสียตังค์ซื้อของก่อน
แล้วค่อยย้อนพาไปไม่ทอดทิ้ง
พอรถจอดจ่อผาท่าจะจริง
ทั้งเดินวิ่งกลัวผาหายเสียดายตังค์

สุดสายตาตรงหน้าท่าจะใช่
ช่างยิ่งใหญ่ให้เห็นเป็นมนต์ขลัง
กี่ล้านปีจึงมีเห็นเป็นจริงจัง
จึงฝากฝังโลกไว้ให้ชื่นชม

ธรรมชาติสร้างงานชาญฉลาด
ศิลปะภาพวาดยังไม่สม
แต่งสีสันสวยได้ให้อารมณ์
ปากกาคมคงยากหากพรรณนา

เป็นลายพร้อยร้อยสายทักทายครบ
ดินฟ้าน้ำบรรจบลงตรงหน้า
เชี่ยวสายน้ำกระแทกทั้นจากชั้นฟ้า
จึงกลายมาเป็นโตรกผาน่ายลใจ

เห็นผาลึกซุกซ่อนให้ย้อนคิด
ฤาเทียบจิตคิดซ้อนยอกย้อนได้
หุบเหวลึกยังมีวันถึงกันไซร้
แต่จิตใจไม่มีหวังหยั่งยากเย็น
(จบตรงนี้. ยังกะเพลงท่าฉลอม)

(ต่อ เป็น alternative ending)
พอตกเย็นถึงเวลาต้องลาล่วง
มีคนห่วงอยู่หลังดังตาเห็น
จะเพลิดเพลินเกินไปให้รำเค็ญ
ไว้ว่างเว้นจะไลน์หาแก้วตาเอย

นิราศน่าน รศ. 229

มาเยือนน่านน่านไงใช่เมืองน่าน  เมืองโบราณมีชีวิตพิศวง

เป็นเมืองเก่าเล่าก่อนแก่แต่ดำรง และยังคงความดีมีให้ดู

เหลียวไปไหนสบายใจให้พบเห็น  ไม่เหมือนเป็นเช่นบ้านเราเขาอดสู

รอยยิ้มใสนัยน์ตาซื่อช่างน่าดู  ได้เรียนรู้เรื่องราวเล่ากล่าวกัน

มืดเช้าตื่นตักบาตรขนาดแน่น   ต้องโลดแล่นไปตลาดตามคาดฝัน

ข้าวแกงขมขนมหวานสารพัน  ส่งพระฉันเผื่อว่าฉันจะได้บุญ

เรียกสามล้อต่อราคาว่าจะเที่ยว ช่วยลดเลี้ยวท่องไปไม่ว้าวุ่น

ชมน้ำน่านผ่านวัดหน่อยค่อยเป็นคุณ  ให้อบอุ่นผลัดกันขี่ก็ดีเอง

ขึ้นทำท่าขี่สามล้อล่อตากล้อง ไม่แคล่วคล่องลองได้ใจทำเก่ง

ลุงไม่ต้องเหนื่อยไงให้ผมเอง ทำอวดเบ่งอวดแกร่งเรี่ยวแรงดี

ขาขยับรถเขยิบแล้วหยุดนิ่ง  ไม่ไหวติงต่อแรงสารถี

ไอ้ที่ว่าแรงมากมายหนายไม่มี  เป็นอย่างงี้มีปี๊บไว้ทำไมกัน

จากน้ำน่านมุ่งหน้าเข้าหาวัด  ไม่เจนจัดหวังจะได้ไปสวรรค์

ถามลุงครับควรไปวันไหนกัน ชื่อลือลั่นรู้อยู่วัดภูมินทร์

พระประธานจตุรพักตร์ประจักษ์แจ้ง  เป็นสำแดงแสงธรรมนำทุกถิ่น

เมตตา กรุณา มุทิตา เป็นอาจินต์  สำเร็จสิ้น อุเบกขา พานำไป

จิตรกรรมฝาผนังดังยิ่งนัก  กระซิบรักบันลือโลกเลื่องถึงไหน

ยอดฝีมือคนโบราณของน่านไง  น่านประไร น่าน น่าน ชาญฝีมือ

พอตกบ่ายย้ายไปธาตุแช่แห้ง ธรรมะแรงแห้งกิเลสล้วนนับถือ

พระธาตุใหญ่ใจคนสูงแสนเลื่องลือ  ที่แท้คือปริศนาธรรมให้ฉ่ำใจ

พอเย็นคล้อยพระธาตุน้อยค่อยไปถึง  เป็นที่ซึ่งสาธุชนคนถิ่นไหน

มาถึงน่าน น่านไง น่านต้องไป  มองเห็นไกลสุดสายตาช่างน่ามอง

มีขุนแผนแสนสนิทให้ชิดเช่า  ควักกระเป๋าเช่าทันทีอยากมีของ

พรรคพวกทักรักขุนแผนต้องไตร่ตรอง  หากอยากลองต้องพระรอดร่วมอีกองค์

เมืองโบราณมีชีวิตที่น่าอยู่    ให้โลกรู้ล้ำค่าน่าประสงค์

นันทบุรีนครย้อนยืนยง         ไม่นานคงคาดชื่อระบือไกล

มีพลังสามัคคีเป็นที่ตั้ง           ได้ยืนยั้งยิ่งอยู่คู่สมัย

จรดน่านน้ำน่านฟ้าภูผาไกล    เพียงมาได้เยือนเยี่ยมเปี่ยมไมตรี

ตามรอยพ่อคือทางที่หมายมุ่ง     ก้าวหน้าพุ่งไปไกลในวิถี

เข้าใจเข้าถึงสามัคคี        น่านนะสิน่านสำเร็จเสร็จเพราะใคร

ถึงเวลา ลาจาก จากเมืองน่าน    จำใจพราก พรากห่าง ห่างหนไหน

คงรำลึก ลึกๆอยู่ อยู่ไม่ไกล       หวังจะได้ ได้เยือนน่าน  น่านอีกที

สมชัย  ศรีสุทธิยากร

19-20 กันยายน 2554

 

 

เวียตนาม ฮาลอง มองให้ลึก

ช่วงวันแม่ที่ผ่านมา ผมพาภรรยา และพี่สาวสองคนไปเที่ยวเวียตนาม  ประเทศเพื่อนบ้านที่ไม่ไกลจากบ้านเรานัก  แค่บินเพลินๆชั่วโมงเศษๆก็ถึง  เหมือนกับยังไม่ได้ไปต่างประเทศอย่างนั้นแหละ

ครั้งนี้เพิ่งจะเป็นครั้งที่สองที่ผมมีโอกาสไปเยือนเวียตนาม  หลังจากครั้งแรกเมื่อประมาณสิบปีที่แล้ว  ที่ผมไปกับคณะของธรรมศาสตร์  คราวนั้นดูจะมีเวลามากกว่า  เพราะไปถึงสี่เมือง  คือ ฮานอย  ดานัง  เว้ และ โฮจิมินห์ซิตี้  หรือไซ่ง่อนเก่า   แต่คราวนี้ไปแค่สองเมืองคือ  ฮานอยและฮาลอง

ฮานอย (Hanoi) เป็นเมืองหลวง  เป็นศูนย์กลางการปกครองของประเทศ  บ้านเมืองก็ดูยังไม่ทันสมัยมากนัก  หากเปรียบก็อาจจะยังพอๆกับขอนแก่นเมืองหลวงของอีสานเราด้วยซ้ำ   มีพื้นที่  920   ตารางกิโลเมตร  ประชากร 3.2 ล้านคน  ในขณะที่กรุงเทพบ้านเรา มีพื้นที่  1,568 ตารางกิโลเมตร  มีประชากรประมาณ 7.1 ล้านคน  พูดง่ายๆคือเล็กกว่าเราประมาณ  2 เท่า

ความสะอาด และความเป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมือง ห่างจากเราไกล   ถนนหนทางเต็มไปรถมอเตอร์ไซด์วิ่งขวักไขว่ไม่ค่อยเป็นระเบียบนัก  มีไฟแดงก็ไม่ค่อยจะหยุด  คนเดินถนนไม่ระวังก็อาจถูกเฉี่ยวชนได้   ร้านอาหารปรุงกันขายกันริมถนน  นั่งยองๆกันกิน  เห็นได้ทั่วไป   แหล่งท่องเที่ยวในฮานอย ก็จะเป็นวัดวาอาราม  และพิพิธภัณฑ์  เรียกกันว่านำอดีตมารับใช้ปัจจุบันนั่นเอง

จากฮานอย  ก็ไป ฮาลอง (Ha Long)   เพื่อไปชมอ่าวธรรมชาติที่ได้รับการประกาศจาก UNESCOให้เป็นมรดกโลก  (World Heritage) ตั้งแต่ปี 2537  หรือ ที่รู้จักกันว่า ฮาลองเบย์  แต่คนไทยอาจจะคุ้นอีกชื่อหนึ่งมากกว่า  คือ อ่าวตังเกี๋ย เป็นจุดท่องเที่ยวที่โดดเด่นแห่งหนึ่งของเวียตนาม   โดยต้องนั่งรถไปในทิศตะวันออกจากฮานอยประมาณ 170 กิโลเมตร  หรือประมาณ 2 ชั่วโมงเศษ

อ่าวฮาลอง  เป็นอ่าวใหญ่  พื้นที่กว่า 1,500 ตารางกิโลเมตร  มีเกาะหินปูนรูปร่างแปลกประหลาดงดงามเกือบสองพันเกาะ  มีถ้ำหินงอกหินย้อยขนาดใหญ่   คล้ายอ่าวพังงาของบ้านเรา  เพียงแต่มากกว่า  ยิ่งใหญ่กว่า  และมีการส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างจริงจัง เป็นล่ำเป็นสันกว่าเท่านั้น

ในเช้าวันรุ่งขึ้น  กลุ่มของเราลงเรือท่องเที่ยวขนาดกลาง  ที่จุได้ประมาณ 30 คน ออกจากท่าเรือฮาลอง  ที่เนืองแน่นไปด้วยเรือขนาดใหญ่เล็กต่างกันกว่า 100 ลำ    เมื่อออกไปกลางอ่าว  จะเห็นเรือนับร้อยเหล่านี้  มุ่งสู่จุดหมายเดียวกัน  คือเกาะแก่งต่างๆที่อุดมด้วยหินงอกหินย้อยที่งดงาม   ดูไปเหมือนกองทัพเรือโบราณในหนังฮอลลีวู้ด  ที่ทุกลำมุ่งสู่เป้าหมายเดียวกันปานนั้น

ถ้ำหินงอกหินย้อยที่เข้าไปดู  เรียกชื่อไทยว่าถ้ำวังสวรรค์ ( Heavenly Palace Grotto) คือเข้าไปแล้วเหมือนกับอยู่ในสวรรค์  เพราะมีหินงอกหินย้อยประดับด้วยไฟหลากสี  ให้จินตนาการไปถึงรูปทรงรูปร่างของสิ่งต่างๆได้มากมาย  ไม่ว่าจะเป็นช้างสามเศียร  มังกร  เต่า หรือคนในอิริยาบถต่างๆ   นอกจากความใหญ่โตโอฬารแล้ว  ผมยังรู้สึกว่าเขาทำรองรับนักท่องเที่ยวได้ดี  ไม่ว่าจะเป็นท่าที่ให้เรือเทียบ  บันไดทางขึ้นลง  ทางเดินในถ้ำ  และการประดับไฟหลากสีในจุดสำคัญต่างๆ

ตามโปรแกรม  ว่ากันว่าจะทานข้าวกลางวันเป็นซีฟู้ดกันในเรือ   แต่ก็ทำเวลากันได้ดี  เพราะสามารถกลับลงเรือได้ และเริ่มทานอาหารกลางวันกันประมาณสิบโมงเศษๆเท่านั้น  ไกด์เวียตนามที่ไปด้วยชมว่าพวกเรารักษาเวลาได้ดี  และให้กำลังใจว่าจะได้มีเวลาเพิ่มขึ้นเพื่อแวะซื้อของระหว่างเส้นทางกลับฮานอย

เรือของเราขึ้นฝั่งเวลา  11.00 น.  โดยมีคณะทัวร์ชุดต่อไปรอลงเรือแบบไม่มีหยุดพัก

เท่ากับว่า  หนึ่งวัน เขาอาจจัดทัวร์ทานข้าวเที่ยงในเรือได้ถึง 2 หรือ 3 รอบ

บนเส้นทางกลับ  สองข้างทางเต็มไปด้วยผืนนาข้าวเขียวชอุ่ม  ผมถามไกด์ว่าที่นี่เขาปลูกข้าวถี่บ่อยเพียงไร  และได้คำตอบว่า  เวียตนามจะคัดเลือกพันธุ์ข้าวที่ปลูกไว โตเร็ว  แม้จะมีเมล็ดไม่สวยงามเท่าข้าวไทย  แต่ปลูกได้ถึงปีละ 4 ครั้ง

เท่ากับหนึ่งปี เราปลูกข้าวได้หนึ่งครั้ง  แต่เขาทำได้มากกว่าเราถึง 4 เท่า

ตอนอยู่ฮานอยเช่นกัน  นัดทานข้าวเย็นเวลาทุ่มตรง  ก็ต้องทุ่มตรง  ไม่ถึงเวลาไกด์ก็จะพาลูกทัวร์ไปโอ้เอ้วิหารราย  แวะโน่นซื้อนี่ให้ถึงทุ่มตรง  พอทุ่มตรงพอดีก็พาไปถึงหน้าร้านภัตตาคาร  ผมสังเกตเห็นกลุ่มทัวร์ที่เข้าไปก่อนหน้าเดินออกมาจากร้านในจังหวะพอดิบพอดีที่เราจะเข้าไป  เช่นเดียวกับขาออกที่ผมสังเกตเห็นลูกทัวร์อีกกลุ่มหนึ่งกำลังจะเข้ามาแทนที่เรา เหมือนเก้าอี้ดนตรีปานใดปานนั้น

เท่ากับหนึ่งเย็น  ร้านอาหารที่มีที่นั่งสักร้อยที่  อาจจะรับกลุ่มทัวร์ได้ถึง 4-5 ร้อยคน 

วันเดินทางกลับ  จากฮานอย ไปสนามบิน  ระยะทางประมาณ 45 กิโลเมตร  ผมสังเกตเห็นโรงงานอุตสาหกรรมต่างชาติ  จำนวนมากผุดขึ้นสองข้างทางเต็มไปหมด  ได้ข้อมูลมาว่า ขณะนี้เวียตนามได้กลายเป็นแหล่งการลงทุนที่น่าสนใจมากกว่าไทยไปแล้ว  เนื่องจาก ค่าแรงถูก  และรัฐส่งเสริมการลงทุนอย่างจริงจัง

ข้อมูลจากสถานทูตเวียตนาม  ระบุว่า เพียงหกเดือนของปีนี้  GDP ของเวียตนามโตขึ้น 7.87 %  มูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้น 19.4 %  การลงทุนของต่างชาติมีมูลค่าถึง  22.45 ล้านเหรียญสหรัฐ  และมีโครงการสัญญาลงทุนใหม่ๆถึง  717 โครงการ  นักท่องเที่ยวต่างชาติ เข้ามาถึง 2.1 ล้านคน  เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมาถึง 14.7 %

จากการสำรวจความเห็นของนักลงทุนเกี่ยวกับตลาดการลงทุนใหม่ๆของบริษัทที่ปรึกษาการลงทุนที่มีชื่อเสียง อย่างไพรซ์วอเตอร์เฮาส์คูเปอร์ ระบุว่าเวียตนามเป็นประเทศที่น่าสนใจในการลงทุนสูงสุด (the most attractive site) ในด้านอุตสาหกรรมการผลิต(manufacturing industry) และเป็นตลาดแข่งขันที่ดุเดือดหากจะหาที่ลงทุนที่มีต้นทุนค่าใช้จ่ายต่ำ

หันมาดูประเทศไทย   กับเงินในกระเป๋าพวกเรา และอนาคตทางเศรษฐกิจของชาติ

ผมสงสัยว่า   เราใช้เวลามากเกินไปกับการทะเลาะกันเองหรือเปล่า

(สิงหาคม 2550)

อียิปต์ เมืองสีน้ำตาล คนสีเทา

การเดินทางมักทำให้เราพบเห็นมุมมองใหม่ๆต่างจากที่เราเคยชิน

ผมอาจเป็นคนโชคดีที่ได้เดินทางค่อนข้างบ่อย

ส่วนหนึ่งเพราะภาระหน้าที่ ต้องสอนหนังสือ ต้องพานักศึกษาไปดูงาน แต่ลึกๆอีกส่วนหนึ่ง คือ ใจที่รักการเดินทาง  ชอบที่จะไปในที่แปลกๆที่ยังไม่เคยไป  พบปะกับผู้คนหลากชีวิต หลายวัฒนธรรม  ดูชีวิตความเป็นอยู่  นิสัยใจคอ    ตลอดจนมุมมองของการดำรงชีวิต

น่าแปลกจริงที่โลกกลมๆ ใบเดียวกัน  คนกลับไม่เหมือนกัน

ปลายมีนาคมที่ผ่านมา  ผมนั่งอียิปต์แอร์ไปลงที่กรุงไคโร เมืองหลวงของอียิปต์   อียิปต์ซึ่งเป็นความฝันของคนหลายๆคน  รวมทั้งผมที่ตั้งใจว่าวันหนึ่งต้องไปให้ได้

เรื่องราว ประวัติศาสตร์ ตำนาน  และหนังจำนวนนับไม่ถ้วนเกี่ยวกับ อียิปต์ ปิรามิด  ฟาโรห์  มัมมี่  แม่น้ำไนล์ ท้องฟ้าสวย ทะเลทรายสีทอง  เป็นเสน่ห์ที่ดึงดูดผู้คนจากทั่วโลกยอมควักกระเป๋าซื้อทัวร์มาลงที่กรุงไคโร  เพื่อบันทึกว่าเป็นครั้งหนึ่งในชีวิตที่ต้องมาสัมผัส   จนทำให้อียิปต์มีรายได้จากการท่องเที่ยวประมาณ 70,000-80,000  ล้านบาท ต่อปี  เป็นรายได้หลักหนึ่งในสี่อย่างของประเทศ คือ รายได้จากแรงงานอียิปต์ที่ไปทำงานในตะวันออกกลาง รายได้จากการท่องเที่ยว รายได้จากการขายน้ำมัน  รายได้จากการเก็บค่าธรรมเนียมผ่านคลองสุเอซ

หลังจากอยู่บนเครื่องบินเกือบสิบชั่วโมง  กัปตันก็ประกาศว่าเครื่องพร้อมลงที่สนามบินกรุงไคโร  ผมชะเง้อดูบ้านเมือง  โดยคิดในใจว่าจะเห็นอะไรที่ยิ่งใหญ่ เช่น ปิรามิด หรือสิ่งก่อสร้างโบราณอะไรบ้าง  แต่ภาพแรกที่ผมเห็นในช่วงรุ่งเช้า คือ ทะเลทรายกว้างขวาง และบ้านเมืองสีน้ำตาล

เป็นสีน้ำตาล ทั้งหมด

ผมเก็บความฉงนสนเท่ห์ไว้  ยังไม่ได้สอบถามใคร  เพราะอาจจะใหม่เกินไป เห็นน้อยเกินไป  ไม่ควรรีบด่วนสรุป

แต่เมื่อรถทัวร์วิ่งผ่านเมืองเข้าสู่ย่านที่พัก  ตลอดสองข้างทาง  บ้าน ที่อยู่อาศัย  กลับมีลักษณะการก่อสร้างเหมือนกันหมด  คือสร้างด้วยวัสดุคล้ายอิฐมอญ   ก่อเปลือยไร้การฉาบตกแต่งหรือทาสี  บางหลังมีเสาบ้านโผล่เติมขึ้นมาเหมือนรอตกแต่งต่อเติม  เหมือนบ้านทุกหลังยังสร้างไม่เสร็จ   นานๆครั้งจึงจะเจอบ้านหรืออาคารที่ฉาบปูนทาสีเรียบร้อยเหมือนบ้านเมืองเรา

หรือประเทศเขาอยู่ระหว่างการก่อร่างสร้างเมือง

เมื่ออดทนไม่ไหวก็เอ่ยปากถามไกด์ท้องถิ่น  และคำตอบที่ได้กลับทำให้ผมฉงนสงสัยเพิ่มขึ้นอีกคือ  ทุกอย่างเป็นเหตุผลด้านภาษี

เขาเล่าให้ฟังว่า  บ้านเหล่านี้ล้วนมีผู้อยู่อาศัย  ภายในก็ตกแต่งเรียบร้อย  ฉาบปูนทาสี  เป็นบ้านเรือนที่สวยงามพออยู่อาศัย  แต่ภายนอกจำเป็นต้องก่ออิฐเปลือย หรือสร้างเสาต่อเติมทิ้งไว้ให้คล้ายว่าอยู่ในระหว่างการก่อสร้าง  เพราะที่นโยบายของรัฐจะจัดเก็บภาษีโรงเรือนสำหรับบ้านที่ก่อสร้างเสร็จเรียบร้อย

ตราบใดที่บ้านยังสร้างไม่เสร็จ  รัฐจะไม่จัดเก็บภาษี

ผลกระทบ (impacts) ของนโยบายดังกล่าวคือ  ชาวบ้านทั้งประเทศพร้อมใจกันสร้างบ้านไม่เสร็จ  จนบ้านเมืองทั้งประเทศเป็นเมืองสีน้ำตาล

ช่างเป็นตัวอย่างในการสอนวิชานโยบายสาธารณะ (Public Policy) ให้แก่นักศึกษาในมหาวิทยาลัยได้เป็นอย่างดี  ถึงนโยบายที่พิกลพิการและส่งผลกระทบที่ไม่พึงปรารถนา (unintended consequences) จนบ้านเมืองขาดระเบียบ ขาดความสวยงามได้ถึงเพียงนี้

เมื่อกล่าวถึงเมืองก็อดกล่าวถึงคนไม่ได้  เพราะในทริปนี้ก็เห็นผู้คนมากมายที่แตกต่างไปจากบ้านเรา  เช่น  ขับรถโดยไม่สนใจกฎจราจร  ขับชิงแย่งเลนกันด้วยความเร็ว  ไม่มีทางม้าลายและไม่ชะลอให้แก่คนข้ามถนน  เรียกได้ว่าการข้ามถนนแต่ละครั้งแทบต้องเสี่ยงชีวิต    ซื้อขายสินค้าบอกผ่านกันเป็นห้าเท่าสิบเท่า  อะไรที่เกี่ยวข้องกับนักท่องเที่ยวทุกอย่างเป็นเงิน  ต้องให้ทิปกันทุกที่   จนเป็นที่รู้กันว่าจะเข้าห้องน้ำที่ใดต้องมีเงินอย่างน้อย 1 ปอนด์อียิปต์  (ประมาณ 7 บาท)   หรือ จะถ่ายรูปอูฐสักตัวก็ต้องเติมเงินค่าทิปให้อย่างน้อย 1 ปอนด์เช่นกัน

ก่อนถึงปิรามิดใหญ่ที่เมืองกิซา (Giza) ไกด์ถามลูกทัวร์เพื่อนำเข้าเรื่องบรรยายว่า  รู้ไหมว่าคนอียิปต์โบราณเขาสร้างปิรามิดกันไว้ทำไม

ผมตอบกลับแบบทีเล่นทีจริงว่า  เพื่อให้คนอียิปต์รุ่นหลังได้มีรายได้จากการท่องเที่ยว

แต่ในใจคิดว่าถ้าคนโบราณรู้ว่า  ภายใต้การส่งเสริมการท่องเที่ยวของประเทศ  ผู้คนปัจจุบันยังมุ่งเอาเปรียบจากนักท่องเที่ยว ยังขาดจิตสำนึกในการช่วยกันส่งเสริมบรรยากาศต่างๆให้เป็นที่ประทับใจแก่นักท่องเที่ยว      ความสมบูรณ์ต่างๆก็ย่อมเกิดขึ้นได้ยาก

คิดถึงบ้านเรา

หวังว่าคงไม่มีนโยบายพิกลพิการที่ทำให้เมืองเป็นสีน้ำตาล  และคนเป็นสีเทา

(มีนาคม 2550)

ดอกไม้แห่งสีสัน มหัศจรรย์แห่งผู้คน

ต้นเมษายน  2550  ผมได้มีโอกาสไปโตเกียวอีกรอบด้วยเหตุผลทางครอบครัว  เนื่องจากลูกชายอยากไปใช้ชีวิตช่วงปิดเทอมรับใช้ศาสนา  ในฐานะลูกศิษย์วัดของวัดไทยในญี่ปุ่น

ช่างโชคดีที่จังหวะและโอกาสอำนวย  เป็นจังหวะที่โตเกียวตรงกับหน้าซากุระบาน  ซึ่งหนึ่งปีจะมีช่วงเวลาให้เห็นได้ประมาณ 7-10 วัน        ปีนี้ค่อนข้างบานเร็วกว่าปีก่อนๆ    โดยคนในโตเกียวให้เหตุผลว่าปีนี้หน้าหนาวหนาวน้อยกว่าปีที่ผ่านมาเลยให้ทำให้ซากุระบานเร็ว    ใครที่ตีตั๋วทัวร์ว่าจะไปดูช่วงต้นหรือกลางเมษา  ก็อาจจะผิดคิว  ในขณะที่ผมไม่มีคิวจะไปดู  แต่กลับโชคดีอย่างยิ่งที่ได้เห็น

ซากุระ (Sakura หรือ Cherry Blossom)  เป็นดอกไม้ประจำชาติของญี่ปุ่น  สีขาวอมชมพู   ความสวยงามที่เห็นคือ ยามผลิดอก  ก็ออกบานให้เห็นชมพูขาวสะพรั่งเต็มต้น  ไม่มีสีเขียวของใบไม้สอดแทรกให้เห็น  เมื่อยามร่วง ก็ร่วงพร้อมกันหมดต้น  ดังนั้นคนที่จะเห็นซากุระบาน  ก็จะเห็นต้นไม้ที่มีแต่ดอกสวยงามเต็มต้น    หรือคนที่ไปไม่ทันช่วงเวลาผลิบาน  ก็จะเห็นเหลือเพียงลำต้นและกิ่งก้านก่อนที่จะผลิใบใหม่เท่านั้น   ด้วยคุณสมบัติเช่นนี้   จึงมีผู้เปรียบเปรยว่า   ทหารญี่ปุ่นนักรบเลือดซามูไร  มีความกล้าหาญ  กล้าร่วงกล้าตายพร้อมกันเหมือนดอกซากุระ

ช่วงดอกซากุระบาน  จะเป็นช่วงแห่งความสุขของคนญี่ปุ่น   คนนับหมื่นจะหอบลูกจูงหลานมาเดินเล่นกันในสวนสาธารณะ  เรียกว่าเป็นเทศกาลฮานามิ (Hanami) หรือแปลเป็นไทยว่าเทศกาลรื่นรมย์ชมดอกไม้  (Flower viewing festival)  ความสุขที่สุดคือมานั่งทานข้าว  หรือทานกับแกล้มสาเกกันในหมู่ญาติหรือมิตรสหายใต้ต้นซากุระที่บานสะพรั่งนับพันต้นในสวนสาธารณะซึ่งมีทั่วไปในญี่ปุ่นแทบจะในทุกเมืองสำคัญ  และหากมีกลีบดอกเล็กๆร่วงลงมาใส่จอกสาเกสักกลีบ  นั่นคือความสุขสุดยอดที่จะมีได้ในชีวิตของแต่ละปี

สวนสาธารณะที่ผมไปดู ชื่อสวนอูเอโนะ (Ueno)  อยู่ทางตอนเหนือของกรุงโตเกียว   เป็นชุมทางรถไฟไปภาคเหนือของญี่ปุ่น  หากจะเปรียบกับไทยก็คงคล้ายสวนจตุจักรที่เป็นที่พักผ่อนของคนกรุงเทพในด้านเหนือนั่นเอง   วันที่ไปก็ไม่ใช่เสาร์-อาทิตย์แต่เป็นวันธรรมดา  แต่บรรยากาศกลับคลาคล่ำด้วยฝูงชนนับหมื่น  ตั้งแต่อายุสักหนึ่งขวบจนจวบร้อยปี  ทุกคนเดินเข้ามาด้วยความกระตือรือร้น  ยิ้มแย้มอย่างมีความสุข  หอบลูกจูงหลาน  คนที่มีอาหารการกินก็ปูเสื่อหาที่ทางใต้ต้นซากุระนั่งปิกนิกเฮฮาให้เห็นกันอย่างน่าอิจฉา   ผมเห็นคนหนุ่มกลุ่มหนึ่งพร้อมที่นอนผ้าห่ม  ดูจะมานอนเอาบรรยากาศกันตั้งแต่เมื่อวาน    เมื่อเห็นคนมีความสุข  ใจเราก็มีความสุขตามไปด้วย

ความสวยงามของดอกซากุระเป็นสีสันที่น่าตื่นตาตื่นใจ  เพราะไม่ใช่เพียงต้นสองต้น  ไม่ใช่ร้อยต้น  แต่เป็นพันๆต้นในหนึ่งสวนสาธารณะ  เป็นหมื่นเป็นแสนต้นทั่วเกาะญี่ปุ่น   และเบ่งบานให้เห็นสวยงามพร้อมกันอย่างเหลือเชื่อ   แต่ความอัศจรรย์ใจที่ยิ่งกว่านั้น คือ วินัยของผู้คนที่มาพักผ่อนในสวนสาธารณะ    ที่ช่วยกันรักษาสาธารณะสมบัติ  ไม่พบรอยขีดรอยเขียนประกาศศักดาเช่นที่เราพบในไทย  ช่วยกันเก็บกวาดรักษาความสะอาดหลังจากนั่งดื่มกิน  เก็บขยะและแยกขยะตามประเภทเพื่อความสะดวกในการกำจัดหรือนำไปแปรรูป  และที่ยิ่งใหญ่ที่สุด  คือ  ไม่มีใครสักคนที่เอื้อมมือไปเก็บดอกซากุระเพื่อเอาไปชื่นชมคนเดียว  หรือนำไปฝากคนทางบ้าน

ผมเห็นคนญี่ปุ่น  ใช้กล้องดิจิตอลที่พกพามา หามุมบันทึกดอกซากุระบางช่อที่อยู่ใกล้มืออย่างระมัดระวัง  กลัวแม้กระทั่งหน้าเลนส์จะไปกระทบกลีบดอก    ระมัดระวังแม้กระทั่งลมหายใจจะไปก่อความรำคาญให้ดอกซากุระ   ผมคุยกับเด็กที่ไปด้วยว่า  หากเป็นเมืองไทยอย่าว่าดอกใกล้มือเลย   ถึงเป็นดอกที่อยู่บนต้นสุดที่มือไขว่ถึง  พี่แกก็คงปีนป่ายขึ้นไปเด็ดเพื่อเอามาเป็นเจ้าของ  หรือขอเอาไปฝากให้คนทางบ้านดูสักดอกสองดอกเป็นแน่    ดูอย่างงานพืชสวนโลกที่เชียงใหม่ไง  มีข่าวรายงานความเสียหายให้ฟังได้ทุกวัน

มหัศจรรย์แห่งผู้คนญี่ปุ่น คือ ความมีวินัย  การเห็นประโยชน์ส่วนรวม  และความเอาจริงเอาจังในการทำให้เกิดความสำเร็จตามสิ่งที่มุ่งมั่นปรารถนา 

ผมเดินอยู่ในสวนประมาณสองชั่วโมง  พิสูจน์ได้ว่าความเชื่อที่ผมคิดเป็นจริง  เพราะทุกคนชื่นชมกับดอกซากุระที่อยู่บนต้น  ไม่คิดครอบครองเป็นของส่วนตัว  แถมยังทะนุถนอมอย่างที่สุด  เพื่อประโยชน์และส่งมอบความสุขให้แก่คนที่จะมาชมในวันถัดไป

มาถึงจุดนี้   ผมจึงถึงบางอ้อว่า  หลักการของการควบคุมคุณภาพทั่วทั้งองค์การ (TQM : Total Quality Management)  ที่ญี่ปุ่นเอาไปใช้อย่างจริงจังในการผลิตจนกลายเป็นยักษ์ใหญ่ในแวดวงอุตสาหกรรมและเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจโลก  ก็มีพื้นฐานมาจากนิสัยใจคอของผู้คนญี่ปุ่นนี่เอง

หลัก TQM  ข้อหนึ่งบอกว่า  ต้องให้ความสำคัญต่อการบริการลูกค้า  (Customer Service) ทั้งนอกและในองค์การ  โดยลูกค้าในองค์การหมายถึงคนที่รับงานต่อเนื่องจากงานที่เราทำ   การบริการที่ดีจึงหมายถึงการส่งมอบงานที่ดีที่ทำเสร็จให้แก่เพื่อนร่วมงานในสายการผลิต หรือในขั้นตอนการทำงานที่ต่อจากเราด้วย

เมื่อเรามอบสิ่งที่ดีให้เพื่อน  เพื่อนมอบสิ่งที่ดีให้เรา  ทุกคนมอบสิ่งที่ดีให้กันและกัน   ทุกสิ่งทุกอย่างในองค์การในสังคมก็จะเป็นสิ่งที่ดีงาม  เป็นความสำเร็จ  เป็นคุณภาพอย่างปราศจากข้อกังขา

ต้นซากุระ  ปลูกในบ้านเราไม่ได้ เพราะภูมิอากาศแตกต่างกัน

แต่ผมเชื่อว่า  เราสามารถร่วมกันปลูกต้นไม้นี้ได้ในใจคน

(เมษายน 2550)